เราทำความเข้าใจกับความต้องการที่แท้จริงจากนั้นจึงใช้วิธีแก้ปัญหาก๊าซหรือเทคโนโลยีที่ดีที่สุดอย่างสร้างสรรค์
16 มิถุนายน 2566
ปฏิเสธไม่ได้ว่าการเปลี่ยนแปลงด้านสภาพภูมิอากาศเป็นความท้าทายมากกว่าปัญหาการขาดแคลนทางพลังงาน ทั้งนี้ปัญหาโลกร้อนเป็นต้นทุนที่ไม่สามารถประเมินได้ เทคโนโลยีและนวัตกรรมจึงเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะสร้างจุดเปลี่ยนของภาคธุรกิจในการก้าวตามเมกะเทรนด์ของโลก
นายปิยบุตร จารุเพ็ญ กรรมการผู้จัดการ บีไอจี เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์ของบีไอจีเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการแยกอากาศ เช่น ออกซิเจนที่ใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ หรือไนโตรเจนที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร และยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ได้จากอากาศโดยตรง เช่น ไฮโดรเจน โดย แอร์โปรดักส์ บริษัทแม่ของบีไอจีในสหรัฐฯ เป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับไฮโดรเจนคาร์บอนต่ำและปราศจากคาร์บอนอันดับ 1 ของโลก ซึ่งบีไอจีได้ขยายธุรกิจด้วยการนำนวัตกรรมด้าน Climate Tech มาเพิ่มคุณค่าของผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายด้านสภาพภูมิอากาศที่ส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอย่างครอบคลุมและเบ็ดเสร็จ
“ปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนั้นเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและต่อเนื่อง บีไอจีจึงต้องการเปลี่ยนภัยคุกคามนี้ให้กลับกลายเป็นโอกาสเพื่อให้ภาคอุตสาหกรรมและคนไทยสามารถก้าวข้ามปัญหานี้ โดยบีไอจีเชื่อมั่นว่านวัตกรรมด้าน Climate Tech สามารถช่วยโลกได้ บีไอจีจึงมุ่งมั่นในการร่วมมือกับทุกภาคส่วนในการแก้ไขปัญหานี้”
ภาคอุตสาหกรรมของประเทศไทยที่ผ่านมาต้องประสบปัญหาด้านความสามารถในการแข่งขันมากมายและในขณะเดียวกัน ยังต้องเจอกับภัยจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ดังนั้น บีไอจีจะเข้าไปแก้ไขปัญหาที่ท้าทาย 3 เรื่องหลัก ประกอบด้วย
ทั้งนี้ บีไอจี ได้ตั้งเป้าเป็นผู้นำนวัตกรรมและเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อสภาพภูมิอากาศ (Climate Technology Company) ด้วยการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีเข้ามาช่วยทั้งการเปลี่ยนแปลงตัวเอง จากเดิมที่ทำธุรกิจแยกอากาศสู่การนำเทคโนโลยีมาแก้ปัญหา จากแรงบันดาลใจที่พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศเป็นภัยคุกคามทั้งภาคธุรกิจและมนุษย์ และมองเป็นภัยคุกคามจะสามารถกลายเป็นโอกาสสร้างธุรกิจให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ดีขึ้นเรื่อย ๆ ผ่าน 4 เทคโนโลยี สำคัญ คือ
“ต่อไปจะผลักดันสถานีบริการไฮโดรเจนเบื้องต้นมองที่ จ.ระยอง โดยเฉพาะในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ซึ่งสถานีแรกใช้งบลงทุน 50 ล้านบาท และเตรียมลงทุนเพิ่มรอบกรุงเทพฯ และปริมณฑล รวมถึงภูมิภาคอื่น ๆ ซึ่งการเติมไฮโดรเจนใช้เวลา 3-5 นาที ต่อการเติมไฮโดรเจน 3-5 กิโลกรัม และจะทำให้รถยนต์ไฮโดรเจนวิ่งได้ถึง 800 กิโลเมตร”
ทั้งนี้ บีไอจี ร่วมกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสานรัฐและบริษัทเอกชนชั้นนำ จัดตั้ง CCUS Consortium อาทิ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) บริษัท เอสซีจี ซีเมนต์ จำกัด (มหาชน) บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เพื่อศึกษาเทคโนโลยีที่เหมาะสมและหาพื้นที่อื่นนอกเหนือจากอ่าวไทย
“ผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจการแยกอากาศโดยทั่วไปอาจแค่นำผลิตภัณฑ์ที่ได้จากอากาศไปให้กลุ่มอุตสาหกรรม แต่บีไอจีมุ่งเน้นที่ผลลัพธ์ในการมุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยนวัตกรรม Climate Technology มาตอบโจทย์ธุรกิจภาคอุตสาหกรรมเพื่อความยั่งยืน”
นอกจากนี้ อยากฝากรัฐบาลใหม่ที่ต้องเจอปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ซึ่งประเทศไทยได้ตั้งเป้าหมายในการบรรลุ Net Zero ภายในปี 2065 โดยภาครัฐต้องออกมาตรการภาษีคาร์บอน พร้อมส่งเสริมสิทธิประโยชน์สำหรับผู้ที่มีส่วนร่วมผลักดันและสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ เพราะหากไม่ทำหรือทำช้า จะส่งผลกระทบภาคส่งออก เนื่องจากสหรัฐหรือยุโรปมีมาตรการปรับคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ทั้งนี้ ภาครัฐต้องมองว่าภาคอุตสาหกรรมคือรากฐานสำคัญทางเศรษฐกิจของประเทศ และต้องเร่งดำเนินการมาตรการกำกับควบคุมดูแลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ชัดในเร็ววัน
ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกภาคส่วนเข้าใจการสร้างโอกาสของภัยคุกคามของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และบีไอจีครบรอบ 35 ปี จึงร่วมกับ กรุงเทพธุรกิจ จัดสัมมนา Climate Tech Forum : Infinite Innovation… Connecting Business to Net Zero วันที่ 28 มิ.ย. 2566 เวลา 12.30-16.30 น. ที่โรงแรมวอลดอร์ฟ แอสโทเรีย กรุงเทพฯ โดยงานนี้จะเป็นงาน Carbon Neutral Event เชิญชวนให้เดินทางโดยรถสาธารณะ และบีไอจีเองได้เตรียมรถยนต์ไฮโดรเจนเตรียมบริการรับส่งจากสถานีรถไฟฟ้าราชดำริมายังโรงแรมในช่วงเวลาสัมมนา (ทั้งขาไป-ขากลับ)
ภายในงานจะนำเสนอแนวคิดจากภาครัฐและเอกชนถึงความร่วมมือของทุกภาคส่วนที่เป็นระบบนิเวศทางธุรกิจ หรือ Ecosystem ในการนำนวัตกรรมมาขับเคลื่อนธุรกิจลดผลกระทบด้านสภาพภูมิอากาศ และมุ่งสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน อาทิ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย, สำนักงานนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.), กรุงเทพมหานคร, องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน), กลุ่มบริษัทดาว ประเทศไทย, บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ