>>>บีไอจีเปิดตัวโรงแยกอากาศแห่งใหม่ใน EEC เทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

บีไอจีเปิดตัวโรงแยกอากาศแห่งใหม่ใน EEC เทคโนโลยีลดก๊าซเรือนกระจกแห่งแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

2021-11-22T13:59:13+07:00

ปัจจุบันหลายประเทศเริ่มให้ความสำคัญกับการลงทุนด้าน ESG (Environmental, Social, and Governance) ให้บรรลุเป้าหมาย Net Zero Emissions เพื่อลดก๊าซเรือนกระจกภายในปี 2050 ดังนั้น เม็ดเงินลงทุนทั่วโลกเพื่อพลังงานสะอาดจะเพิ่มขึ้นจากเดิมที่ 2 ล้านล้านดอลลาร์ต่อปี เพิ่มเป็น 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี (การลงทุนถึงปี 2030) ซึ่งหลายประเทศต่างเห็นพ้องว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) เป็นปัญหาและความเสี่ยงที่ต้องร่วมกันแก้ไข

สำหรับไทยได้มีความตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและเริ่มนำเทคโนโลยีต่าง ๆ มาใช้ เช่น เทคโนโลยีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมและโซล่าร์ รวมถึงเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่อยู่ในช่วงของการศึกษาความเป็นไปได้อย่างเทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) และเทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture)

ล่าสุดได้มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในโรงแยกอากาศเพื่อช่วยลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างบริษัท บางกอกอินดัสเทรียลแก๊ส จำกัด (บีไอจี) และ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) จัดตั้งเป็นบริษัท มาบตาพุด แอร์โปรดักส์ จำกัด (เอ็มเอพี) ในการนำความเย็นที่เหลือจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะก๊าซธรรมชาติที่อยู่ในรูปของเหลวกลับมาเป็นก๊าซ โดยความเย็นจากกระบวนการเปลี่ยนสถานะ LNG นี้ จะอยู่ในรูปแบบของน้ำเย็นที่ถูกปล่อยลงทะเลกว่า 2,500 ตันต่อชั่วโมง ซึ่งเป็นการสูญเสียพลังงานความเย็นโดยเปล่าประโยชน์

ดังนั้น เอ็มเอพีจึงนำความเย็นที่ได้จากกระบวนการนี้มาลดอุณหภูมิของอากาศ เพื่อแยกอากาศออกเป็นนโตรเจน ออกซิเจน และอาร์กอน ซึ่งได้ประโยชน์ถึงสองต่อ คือ นำความเย็นมาใช้ประโยชน์ในการผลิตก๊าซอุตสาหกรรม และการนำพลังงานความเย็นมาใช้แทนการใช้ไฟฟ้าในกระบวนการแยกอากาศที่จะทำให้เกิดการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากการใช้พลังงานไฟฟ้าลงได้ 28,000 ตันต่อปี

โรงแยกอากาศดังกล่าว ตั้งอยู่ในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง มีมูลค่าการลงทุนกว่า 1,500 ล้านบาท มีกำลังการผลิตก๊าซอุตสาหกรรมมากถึง 450,000 ตันต่อปี ซึ่งเป็นหน่วยแยกอากาศแห่งแรกของประเทศไทยและในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่นำพลังงานความเย็นจากการเปลี่ยนสถานะ LNG มาใช้ผลิตก๊าซอุตสาหกรรมอย่างออกซิเจน ไนโตรเจน และอาร์กอน

โดยออกซิเจนเหลว ที่ได้จากโรงแยกอากาศเอ็มเอพี่จะนำมาใช้ทางการแพทย์กว่า 140 ตันต่อวัน ส่วนไนโตรเจนนอกจากจะใช้ในโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่โครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : EEC) แล้ว ยังนำไปใช้ในโครงการระเบียงผลไม้ภาคตะวันออก (Eastern Fruit Corridor : EFC) โดยไนโตรเจนเหลวจะช่วยเก็บรักษาคุณภาพของผลไม้ ส่วนอาร์กอนนำไปใช้งานในหลากหลายอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมเชื่อมสเตนเลสและโลหะชนิดต่าง ๆ การผลิตหลอดไฟ การผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น

ด้านศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB EIC) มองว่าในอนาคตผลิตภัณฑ์ไนโตรเจนที่ได้จากโรงงานแยกอากาศสามารถนำไปต่อยอดสู่การลงทุนไฮโดรเจนสีเขียวที่เป็นพลังงานสะอาดได้ เนื่องจากไฮโดรเจนซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์หลักของบริษัทบีไอจี เป็นก๊าซที่มีน้ำหนักเบามาก ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ แต่มีข้อจำกัดด้านการขนส่งในระยะทางไกล ทั้งนี้หากนำไนโตรเจนที่ได้มารวมตัวกับไฮโดรเจนจะเกิดเป็นผลิตภัณฑ์แอมโมเนียที่มีสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิห้อง ทำให้สะดวกต่อการจัดเก็บและการขนส่ง และยังได้ปริมาณไฮโดรเจนที่มากกว่า ถึง 1.5 เท่าภายใต้การขนส่งที่ปริมาตรเดียวกัน โดยเมื่อถึงปลายทางแล้วจะใช้กระบวนการ Dehydrogenation เพื่อแยกเอาไฮโดรเจนออกมาใช้ เป็นการแก้ไขข้อจำกัดสำหรับตลาดไฮโดรเจนสีเขียวต่อไปได้ในอนาคต ซึ่งปัจจุบันไฮโดรเจนสีเขียวเป็นเชื้อเพลิงที่มีการวิจัยและพัฒนา (R&D) ของค่ายรถยนต์ทั้งในยุโรป สหรัฐฯ และญี่ปุ่น เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคตที่ไม่สร้างมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม

ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ และ ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ธนาคารไทยพาณิชย์


Share:
Right Menu Icon
บริษัทใช้คุกกี้เพื่อมอบประสบการณ์การใช้งานเว็บไซต์ bigth.com ของท่านที่ดีกว่าเดิม ในการใช้งานเว็บไซต์ของเรา ถือว่าท่านยอมรับการใช้คุกกี้ตามที่ระบุใน มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล ยอมรับ